เคยไหม? เจองานออกแบบที่ดูดีหมดทุกอย่าง สีดี ภาพสวย แต่พออ่านตัวหนังสือแล้วรู้สึกว่า “มันแปลกๆ” แบบอธิบายไม่ถูก นั่นแหละ... หนึ่งในตัวการอาจเป็นเพราะ "ฟอนต์" ที่ไม่แมทช์กับอารมณ์ของงาน!
จริงๆ แล้ว ฟอนต์ก็ไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่เราเลือกใส่ในแต่ละวัน บางชุดดูเรียบร้อย บางชุดดูเท่ สบายๆ ฟอนต์ก็เหมือนกัน มันคือการ "แต่งตัว" ให้ข้อความของเรา เพราะการเลือกฟอนต์ไม่ใช่แค่เรื่องสวยไม่สวย แต่คือการเลือก "บุคลิก" ให้การสื่อสารของเรา
วันนี้ Casper Schools จะพาไปเข้าใจความต่างระหว่าง Serif และ Sans Serif แบบง่ายๆ พร้อมทริคเล็กๆ ในการเลือกใช้ให้ตรงกับอารมณ์ของงานด้วยนะ
Serif: ฟอนต์ที่มีเชิง = คลาสสิก เรียบร้อย น่าเชื่อถือ
Serif คือฟอนต์ที่มี "เชิง" หรือเส้นเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากปลายตัวอักษร เหมือนหางเล็กๆ ตรงหัวและท้ายตัวหนังสือ
บุคลิกของ Serif
-
คลาสสิก เป็นทางการ
-
ให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ
-
มีกลิ่นอายความรู้ ความดั้งเดิม
-
ใช้แล้วดูแพง ดูมีวัฒนธรรม
เหมาะกับงานแบบไหน?
-
เอกสารทางวิชาการ
-
หนังสือพิมพ์ บทความยาวๆ
-
แบรนด์หรู แบรนด์เก่าแก่
-
เว็บไซต์มหาวิทยาลัย หรือองค์กรระดับสากล
Fun Fact: ทำไม Serif ถึงดูน่าเชื่อถือ?
เพราะในอดีต หนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ และสิ่งพิมพ์ต่างๆ ล้วนใช้ฟอนต์ Serif เป็นหลัก สายตาและสมองของเราจึง "จดจำ" ฟอนต์ลักษณะนี้ว่าเกี่ยวข้องกับความรู้ ความจริงจัง และความเป็นมืออาชีพ พอเห็นเมื่อไหร่ ก็รู้สึก "เชื่อถือได้" โดยอัตโนมัติ แม้จะไม่รู้ตัวเลยก็ตาม
Sans Serif: ไม่มีเชิง = เรียบเท่ อ่านง่าย ทันสมัยSans Serif มาจากคำว่า "Sans" ที่แปลว่า "ไม่มี" ก็คือฟอนต์ที่ไม่มีเชิงนั่นเอง ทำให้ดูเรียบและอ่านง่าย โดยเฉพาะบนหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์
บุคลิกของ Sans Serif
-
โมเดิร์น มินิมอล
-
เป็นมิตร เข้าถึงง่าย
-
ดูเท่ มีสไตล์
-
เหมาะกับงานที่ไม่ทางการเกินไป
เหมาะกับงานแบบไหน?
-
เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และแพลตฟอร์มดิจิทัล
-
อินโฟกราฟิก หรือสื่อโซเชียล
-
แบรนด์สายไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยี หรือสายเฮลท์ตี้
-
งานที่เน้น Visual ชัดๆ อ่านง่ายบนหน้าจอ
เลือกฟอนต์ให้ถูก ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง
การเลือกฟอนต์ไม่จำเป็นต้องเลือกแค่แบบเดียวเสมอไป จริงๆ แล้วการผสมฟอนต์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้งานออกแบบดูมีมิติมากขึ้น เช่น การใช้ฟอนต์ Serif ในส่วนของหัวเรื่องเพื่อเพิ่มน้ำหนักและความรู้สึกน่าเชื่อถือ ส่วนเนื้อหาอาจเลือกใช้ Sans Serif ซึ่งอ่านง่ายและสบายตา โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนหน้าจอ

อีกวิธีที่ช่วยให้เราเลือกฟอนต์ได้แม่นยำขึ้นก็คือการดู Reference จากแบรนด์ที่เราชอบ ลองสังเกตดูว่าแบรนด์เหล่านั้นเลือกใช้ฟอนต์แบบไหน เขาจับคู่ยังไง แล้วนำสิ่งที่เราสังเกตเห็นมาปรับใช้กับงานของตัวเองในแบบที่เข้ากับบริบทและเป้าหมายของโปรเจกต์
นอกจากนี้ แม้จะใช้ฟอนต์แค่แบบเดียว แต่การเล่นกับขนาดหรือน้ำหนักของฟอนต์ก็สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของข้อความได้อย่างมาก ตัวอักษรขนาดใหญ่ น้ำหนักหนา อาจให้ความรู้สึกกล้า ชัด มั่นใจ ขณะที่ตัวอักษรบางๆ ขนาดเล็ก อาจให้ความรู้สึกเบา ละมุน หรือเป็นมิตรได้เช่นกัน
การเลือกฟอนต์ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่คือการเลือกว่า "อยากให้งานของเราสื่อสารกับคนดูยังไง" Serif อาจช่วยให้งานดูน่าเชื่อถือและมีความลึก ขณะที่ Sans Serif ก็ช่วยให้งานดูทันสมัยและเข้าถึงง่าย บางครั้งการผสมทั้งสองก็สร้างสมดุลที่พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูก เพราะทุกฟอนต์มีเสียงของตัวเอง และเมื่อเราเลือกได้ถูกเสียง งานของเราก็จะ "พูด" ได้อย่างทรงพลัง
และถ้าอยากเข้าใจการทำงานกับตัวอักษรแบบมืออาชีพ บอกเลยว่ามีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าแค่การเลือกฟอนต์ เพราะ Typography ที่ดีไม่ใช่แค่เรื่อง Serif หรือ Sans Serif เท่านั้น แต่ยังรวมถึงรายละเอียดเล็กๆ อย่างการจัดวาง การเว้นบรรทัด สเกล น้ำหนัก และจังหวะของตัวอักษร ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้งานของคุณ "ดูโปร" แบบที่คนอ่านรู้สึกได้ตั้งแต่แรกเห็น เราขอแนะนำให้คอร์ส Understanding the Art of Typography จาก Casper Schools ที่จะพาทุกคนไปรู้จัก "ภาษาของตัวอักษร" อย่างลึกซึ้ง พร้อมเทคนิคที่ใช้ได้จริงในงานออกแบบทุกประเภท