ตีโจทย์บรีฟจากลูกค้ายังไง เมื่อเจอคำว่า "อะไรก็ได้" แบบนี้ต้องเริ่มจากตรงไหน?
by Casper Schools
Published:

"อะไรก็ได้" ฟังดูเป็นคำที่เปิดกว้าง ให้พื้นที่ในการสร้างสรรค์แบบไร้ขีดจำกัด แต่น่าเศร้าตรงที่มันคือคำที่ทำให้คนออกแบบ "ไปไม่สุด" มากที่สุดเหมือนกัน

เพราะเมื่อไม่มีโจทย์ ก็ไม่มีปัญหาให้แก้ เมื่อไม่มีทิศทาง ก็ไม่รู้ต้องไปทางไหน และเมื่อไม่มีความคาดหวัง เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า "สิ่งที่ใช่" หน้าตาเป็นยังไง

ทำไม "อะไรก็ได้" ถึงยากกว่า "ขอฟีลญี่ปุ่นยุค 90 สดใสแต่ไม่แบ๊ว อบอุ่นแต่ไม่เศร้า"

เพราะอย่างหลัง ถึงจะดูซับซ้อน แต่มันมี "ทิศทาง" แต่ "อะไรก็ได้" มันเหมือนเดินเข้าป่าแบบไม่มีเข็มทิศ ไม่มีแผนที่ และไม่มีแม้แต่เป้าหมายว่าจะไปไหน แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลงทางรึเปล่า หลายคนคิดว่าบรีฟยิ่งเปิดกว้างยิ่งคิดงานง่าย แต่จริงๆ แล้ว "บรีฟที่กว้างเกินไป" กลับทำให้ไอเดียค้างอยู่ในหัวนานกว่าเดิม เพราะความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้เกิดจากอิสระ 100% แต่มันเกิดจาก "ข้อจำกัดที่ชัดเจน" เมื่อรู้ว่ามีกรอบอะไร เราจะเริ่มมองหา "ทางออก" ที่ดีที่สุดได้

ที่สำคัญคือ เมื่อไม่มีบรีฟ ลูกค้าจะก็ไม่มี "เกณฑ์" ในการตรวจงานเช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมากคือ การตรวจงานแบบ "ใช้ความรู้สึก" หรือ "ตรวจตามความชอบส่วนตัว" ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ทำให้กระบวนการออกแบบกลายเป็น "การเดาใจ" มากกว่า "การแก้ปัญหา" และนั่นคือสาเหตุที่ทั้งสองฝ่ายมักจะรู้สึกเหนื่อย โดยไม่รู้ว่าจุดหลุดมันอยู่ตรงไหนกันแน่

บรีฟไม่มีกรอบ รับมือยังไงให้ไม่หลุดโค้ง
1. ถามกลับให้ได้โจทย์ (แบบเนียนๆ)
อย่าเพิ่งตกใจหรือเสียเซลฟ์ถ้าเจอคำว่า "อะไรก็ได้" เพราะบางทีลูกค้าแค่ยังไม่รู้ว่าจะสื่อสารความต้องการยังไงมากกว่า เราอาจลองถามกลับแบบเนียนๆ ประมาณว่า
  1. "มีตัวอย่างงานที่ชอบเป็นพิเศษไหมคะ? เผื่อเราจะได้เห็นภาพไปในทางเดียวกันมากขึ้น"
  2. "อยากให้คนที่เห็นงานนี้รู้สึกแบบไหนเป็นพิเศษไหมคะ?"
  3. "มีอะไรที่อยากเลี่ยงหรือไม่อยากให้ใส่เข้าไปในงานบ้างไหมคะ?"
พอได้คำตอบพวกนี้ เราจะเริ่มเห็นภาพรวมมากขึ้น และเริ่มออกแบบโจทย์ของเราเองได้

2. ถ้าไม่ได้คำตอบ ก็สร้างกรอบเองไปเลย
บางครั้งถามไปแล้วอาจยังไม่ได้คำตอบชัดเจน ไม่เป็นไรเลย เพราะนั่นคือโอกาสที่เราจะได้ลองตั้งกรอบขึ้นมาเองจากข้อมูลและความเข้าใจที่มีอยู่ แล้วค่อยๆ ขยับไปทีละสเต็ปเพื่อหาทิศทางที่ใช่ร่วมกัน
  1. คิดว่าเรากำลังออกแบบให้ใครด้วยการสร้าง Persona (ตัวตนจำลองของลูกค้า)
    ลองสมมติเหมือนเรากำลังทำงานให้ "เพื่อนสายมินิมอลที่ชอบแบรนด์ญี่ปุ่น" พอมีภาพคนในหัว ภาพรวมของงานจะเริ่มชัดขึ้น โทนสีเรียบง่าย ฟอนต์สะอาด ความรู้สึกอบอุ่นแบบญี่ปุ่นนิดๆ
  2. ชวนดู Moodboard ไปพร้อมกัน
    หาภาพ ฟอนต์ สี หรือฟีลลิ่งที่เราคิดว่าใช่ แล้วส่งให้เขาดู แค่ดูสีหน้าหรือฟีดแบกก็บอกได้เยอะ ว่าตรงจริตหรือยังต้องขยับอีกหน่อย
  3. ใช้ 3 คำถามนี้มาช่วยเคาะไอเดียให้ลงตัว
    • Brand: งานนี้สะท้อนบุคลิกแบบไหน เช่น เป็นทางการ เนี้ยบ เท่ หรือมีความเป็นกันเอง ขี้เล่นนิดๆ
    • Target: กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร เช่น เด็กมัธยม คนทำงาน หรือกลุ่ม Gen Z ที่มีความชอบเฉพาะตัว
    • Goal: อยากให้คนที่เห็นรู้สึกอย่างไร หรืออยากให้เขาทำอะไรต่อ เช่น รู้สึกประทับใจ กดติดตาม หรือสนใจสิ

3. ส่งไปหลายแนว แล้วให้เขาเลือก = ได้โจทย์ชัดขึ้น
เทคนิคคลาสสิกที่เวิร์กทุกยุคคือ "ส่งไป 2-3 แนว" ตัวอย่างเช่น
  • แบบ A: สดใส ขี้เล่น
  • แบบ B: เท่ มินิมอล
  • แบบ C: คลาสสิก เรียบหรู
ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเลือกแบบนึง หรือบอกว่า "เอา A ผสมกับ B ได้ไหม" ซึ่งตรงนั้นแหละ คือจุดที่เราจะได้บรีฟจริงๆ สักที

บรีฟว่างเปล่า = ช่องว่างให้เราสร้างกระบวนการ
ถ้าเจอบรีฟที่ไม่มีอะไรให้ยึดเลย อย่าเพิ่งคิดว่านี่เป็น "ภาระ" ของเราเพียงลำพัง ให้มองว่าเป็นโอกาสในการ "ออกแบบกระบวนการคิด" ขึ้นมาเอง เพราะในวันที่ไม่มีใครบอกว่าอะไรถูก สิ่งเดียวที่พาเราไปถึงคำตอบได้ก็คือการตั้งคำถามให้ถูกก่อน

อะไรก็ได้... แต่อย่าเพิ่งทำ "อะไรก็ได้" จริง ๆ

"อะไรก็ได้" ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สนใจ แต่มันอาจแปลว่าเขายังไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไรแน่ๆ และนั่นแหละ คือโอกาสของนักออกแบบ เพราะหน้าที่ของเรามีมากกว่าการทำให้ "สวย" แต่มันคือการช่วยอีกฝ่าย "ค้นหา" และ "แปล" สิ่งที่ยังไม่ชัด ให้กลายเป็นงานที่ตอบโจทย์จริงๆ ไม่ใช่แค่ดูดี แต่ต้องรู้สึกได้ว่า "ใช่"

หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้เรากับลูกค้า "เห็นภาพเดียวกัน" ได้เร็วขึ้นก็คือ Mood Board ลองรวบรวมภาพ สี ฟอนต์ หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่สื่อถึงทิศทางที่เราคิดไว้ แล้วส่งให้ลูกค้าดู เพราะบางทีเขาอาจไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่พอเห็นภาพ เขาจะรู้ทันทีว่า "อันนี้ใช่" หรือ "อันนี้ไม่ใช่" Feedback จาก Moodboard มักบอกอะไรได้มากกว่าที่คิด และยังช่วยลดการเดาใจที่มักเกิดขึ้นเวลาโจทย์คลุมเครือหรือไม่มีบรีฟชัดๆ ได้อย่างดี ถ้าอยากฝึกเปลี่ยนไอเดียในหัวให้กลายเป็นภาพที่เล่าเรื่องและเข้าใจตรงกันได้ง่ายขึ้น ลองเริ่มจากคอร์ส Idea Visualization with Mood Board ที่จะสอนตั้งแต่การเลือกภาพ วางองค์ประกอบ ไปจนถึงเทคนิคการสื่อสารด้วยภาพแบบมืออาชีพ

แต่ในบางครั้ง บรีฟที่ดูว่างเปล่า อาจเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาดีๆ และเป็นพื้นที่ให้เราทำในสิ่งที่เรียกว่า "ออกแบบอย่างมีความหมาย" ได้จริงๆ ถ้าอยากมีกล้ามเนื้อมุมมองที่แข็งแรงขึ้น เข้าใจว่าอะไร "ใช่" และเพราะอะไร ลองมาลับสายตานักออกแบบไปด้วยกันใน คอร์สเวิร์คช็อปฝึกดีไซน์ Design Principles & Creative Workshop ที่จะทำให้ทุกคนได้ฝึกคิด ฝึกมอง ฝึกออกแบบให้แม่นแบบมีเหตุผล

Published: