"Artist" กับ "Designer" ดูเป็นงานที่เท่และผลิตสิ่งสวยงามทั้งคู่ แต่จริงๆ แล้วสองอาชีพนี้แตกต่างกันยังไง แล้วควรจะเลือกเรียนหรือทำอาชีพไหนถึงจะได้ทำงานที่ตัวเองชอบจริงๆ กันแน่
"ศิลปิน (Artist) ทำงานเพื่อตัวเอง ส่วนนักออกแบบ (Designer) ทำงานเพื่อผู้อื่น" เป็นประโยคสรุปง่ายๆ ที่อาจารย์มหาวิทยาลัยมักใช้เวลาอธิบายให้เด็กมัธยมที่มา Open House ฟัง แต่พอฟังแล้วก็ยังมีคำถามตามมาอีกเป็นชุด
-
ทำงานเพื่อตัวเองคืออะไร แค่วาดรูปที่ถูกใจตัวเองเหรอ แล้วจะหาเงินยังไง?
-
ทำงานเพื่อผู้อื่น แปลว่าเป็นแรงงานรับคำสั่งเฉยๆ ใช่ไหม แล้วจะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์รึเปล่า?
-
ถ้าชอบอยู่คนเดียวล่ะ? หรือถ้าชอบคิดวิเคราะห์เป็นระบบ? แบบนี้ควรไปทางไหนดี?
-
แล้วถ้าเราชอบทั้งสองฝั่ง จำเป็นต้องเลือกมั้ย?
ลองคิดว่าอาชีพ "ศิลปิน" กับ "นักออกแบบ" คือปลายขั้วซ้ายขวาของเชือกเส้นหนึ่ง บนเส้นเชือกนี้ไม่มีตำแหน่งที่ถูกหรือผิด ทุกคนสามารถอยู่ตรงไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับนิสัย วิธีคิด และวิธีทำงานที่แต่ละคนถนัดจริงๆ นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้งานสายครีเอทีฟน่าตื่นเต้น เพราะไม่ได้มีเพียงมีคำตอบเดียว และมีเส้นทางที่หลากหลาย ก่อนจะเลือกเส้นทาง ลองมาดู “4 ความแตกต่างหลัก” ระหว่างศิลปินกับนักออกแบบที่จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้ชัดขึ้นกันเลย
4 ข้อแตกต่างระหว่าง Artist กับ Designer
1. Objective: จุดเริ่มต้นของงาน
Artist: เริ่มจากสิ่งที่ “อยากเล่า”
Designer: เริ่มจากสิ่งที่ “ต้องแก้”
ศิลปินมัก
เริ่มจากเรื่องราวหรืออารมณ์ที่อยากสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำส่วนตัว ความคิด ความรู้สึก หรือประเด็นที่ตัวเองอิน งานศิลปะหลายชิ้นจึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยของตัวศิลปินเอง และชวนให้คนดูเข้าไปสัมผัสความเป็นมนุษย์แบบลึกๆ
ซึ่งอาจจะถ่ายทอดออกมาผ่านรูปวาด หนังสือ รูปปั้น ตุ๊กตา เครื่องปั้นดินเผา ผ้าทอ หรือภาพยนตร์ก็ได้
ตัวอย่างของศิลปินที่ทำงานในลักษณะนี้ได้แก่ Ceramic Artist, Visual Artist, Comic Artist, Textile Artist และ Installation Artist ซึ่งต่างใช้ศิลปะเป็นภาษาส่วนตัวในการสื่อสารกับโลก
ในทางกลับกัน นักออกแบบมักเริ่มจาก "โจทย์" มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว เช่น ลูกค้าต้องการสื่ออะไร ธุรกิจต้องแก้ปัญหาอะไร หรืออยากให้ผู้บริโภครู้สึกอย่างไร แล้วออกแบบทางแก้ไขด้วยภาพ เสียง หรือรูปแบบที่สร้างสรรค์ อาจเป็นการออกแบบสินค้าเพื่อวางขายก็ได้ โดยนึกถึงการใช้งานและการตลาดไปพร้อมกับความงาม
ประเภทของนักออกแบบที่พบได้บ่อย เช่น Graphic Designer, Product Designer และ Interior Designer ซึ่งทำงานโดยคำนึงถึงฟังก์ชัน ความสวยงาม และกลุ่มเป้าหมายไปพร้อมกัน
ตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพ
Artist = นักร้องที่แต่งเพลงจากประสบการณ์ชีวิตตัวเอง ถ่ายทอดอารมณ์และเรื่องราวผ่านซิงเกิ้ลหรืออัลบั้ม มีแฟนเพลงที่อินกับตัวตนและติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง
Designer = นักแต่งเพลงที่รับโจทย์มาเขียนเพลงโฆษณา ต้องคิดให้เพลงทั้ง "ติดหู" และ "สื่อสารได้ตรงจุด" ตามความต้องการของลูกค้า

2. Creative Thinking: วิธีคิดและมุมมองต่อผลงาน
Artist: สื่อสารให้ “รู้สึก”
Designer: สื่อสารให้ “เข้าใจ”
ศิลปินมักใส่ตัวตนลงไปในผลงานแบบเต็มๆ เบื้องหลังงานที่สัมผัสใจคนได้ มักเริ่มต้นจากสิ่งที่อยู่ลึกในใจของศิลปิน ทั้งความเชื่อส่วนตัว ปรัชญาชีวิต ความทรงจำวัยเด็ก หรือแม้แต่ความกลัวในอนาคต สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ก่อตัวเป็นผลงานที่มีชีวิต และพวกเขาไม่ได้ต้องการให้คนดูเข้าใจตรงกับสิ่งที่ตัวเองตั้งใจเสมอไป เพราะงานศิลปะเปิดพื้นที่ให้คนดูตีความอย่างอิสระ จะเห็นต่าง ถกเถียง หรือรู้สึกแบบไหนก็ได้ เพราะเป้าหมายของศิลปินคือการกระตุ้น "ความรู้สึก" บางอย่างในใจของผู้ชมมากกว่า
ในทางกลับกันนักออกแบบต้องคิดให้ชัดว่างานที่ออกแบบไปจะทำให้คนเข้าใจอะไร และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมหรือความรู้สึกแบบไหนตามเป้าหมาย เช่น จำแบรนด์ได้ อยากซื้อ อยากแชร์ต่อ ฯลฯ Designer ต้องการให้การสื่อสารชัดเจนและตรงเป้าหมาย งานออกแบบถูกสร้างขึ้นเพื่อส่งสารบางอย่างไปยังคนดูโดยเฉพาะ ต้องคิดให้ละเอียดว่าจะออกแบบยังไงให้เข้าใจได้ตรงกัน ไม่เกิดความสับสน และกระตุ้นการตอบสนองแบบที่ตั้งใจไว้

3. Working Style: สไตล์การทำงาน
Artist: มีลายเซ็นชัด
Designer: ยืดหยุ่นตามโจทย์
ศิลปินมักมีสไตล์ของตัวเองที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นโทนสี รูปแบบ เทคนิค หรือธีมที่ใช้เล่าเรื่อง ซึ่งกลายเป็น “ลายเซ็น” ให้คนจดจำ แต่ดีไซเนอร์จะต้องเปลี่ยนสไตล์ตามโจทย์ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและบริบทของงาน เช่น งานออกแบบโบรชัวร์โรงพยาบาลกับคาเฟ่ก็ต้องต่างกันโดยสิ้นเชิง

4. Teamwork: การทำงานเป็นทีม
Artist: เดี่ยวก็รอด
Designer: ทีมเวิร์กคือหัวใจ
ศิลปินจำนวนมากสามารถสร้างงานคนเดียวได้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยใช้เวลาอยู่กับตัวเองหรือกับสิ่งที่กำลังอิน ขณะที่งานออกแบบแทบทุกชิ้นต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ นักเขียน ทีมตลาด ไปจนถึงลูกค้า ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการคิดและตัดสินใจ

วิธีสังเกตว่าตัวเองเหมาะเป็นศิลปินหรือนักออกแบบมากกว่ากัน
Step 1: ศึกษาผลงานและวิธีคิดของ Artist, Designer, คนที่เป็นทั้ง Artist+Designer
นักออกแบบเก่งๆ หลายคนมักมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว คือมีไอเดียที่มี Originality สูง และไม่เพียงแต่ทำงานตามโจทย์ลูกค้าสั่งเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ วิธีมองโลกของตัวเองด้วยการสร้างผลงานส่วนตัว (Personal Projects) เราขอแนะนำนักสร้างสรรค์เหล่านี้ให้ทุกคนลองไปติดตามดูงาน อ่านบทความและแนวคิดของพวกเขาดูกัน
Artist: Do-ho Suh
Designer: Eriko Kawakami
Artist ที่ออกแบบไปด้วย: Pablo Picasso, Alexander Mcqueen, Martin Margiela
Designer ที่สร้างงานศิลปะด้วย: Misawa Haruka, Bruno Munari
หนังสือที่เราขอแนะนำ
Artist
Work in Progress: Phillippe Weisbecker โดย Phillippe Weisbecker
Designer
Designing Design โดย Hara Kenya
Artist + Designer
Design as Art โดย Bruno Munari
Step 2: สังเกตธรรมชาติของตัวเอง
ในตัวเราอาจจะมีนิสัยของทั้งศิลปินและนักออกแบบปนอยู่ในคนเดียวกัน สังเกตว่าตัวเองติ๊กถูกข้อไหนบ้างดูกัน
Artist's Nature
-
สนใจอารมณ์ ความคิดภายในจิตใจของตัวเองและคนรอบตัว
-
มีไอเดียแรงบันดาลใจที่จดไว้มากมายในสมุด
-
มองสิ่งรอบตัวแล้วคิดเชื่อมโยงไปกับความทรงจำ ปรัชญา แนวคิดอื่นๆ อย่างลึกซึ้ง
-
ชอบทดลอง ขยับมือทำสิ่งต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมายว่าจะออกมาเป็นผลงานอะไร
Designer's Nature
-
ชอบจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์สิ่งต่างๆ
-
ชอบสังเกตสิ่งรอบตัว หาตรรกะให้มัน
-
ชอบแก้ปัญหาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน
-
ชอบเล่นมุกตลกให้คนเก็ต
-
ชอบสร้างสรรค์ภายใต้โจทย์ที่คนอื่นกำหนดให้ มากกว่าเริ่มต้นไอเดียจาก 0 ด้วยตนเองทั้งหมด

Step 3: ลองเข้าไปคลุกคลีวงการดู
ถ้ายังเป็นนักศึกษาอยู่ ก็ลองไปฝึกงานกับสตูดิโอศิลปินบ้าง สตูดิโอนักออกแบบบ้าง ไปดูนิทรรศการทั้งสองฝั่ง อ่านหนังสือและแนวคิดของพวกเขาดู สังเกตว่าแต่ละคนมีไลฟ์สไตล์และวิธีการทำงานที่คล้ายคลึง ถูกใจกับภาพที่เราวาดไว้ในอนาคตไหม
แต่ถ้าตั้งใจจะเริ่มต้นทำงานจริงแล้ว เราขอเชียร์ให้ลองลงมือทำงานดูเลย ในตอนแรกอาจจะยังไม่ต้องกำหนดตัวเองแน่ชัด พอทำไปได้สัก 3 งาน ก็จะเริ่มจับทางได้ค่ะว่าตัวเองมีความสุขกับแนวทางไหนกันแน่

Artist กับ Designer ต่างกันยังไง พอได้อ่านความแตกต่าง 4 ด้านทั้งในวิธีการทำงาน ธรรมชาติของคนทั้งสองอาชีพ วิธีการมาร์เก็ตตัวเอง และสังคมการทำงานแล้ว
น่าจะทำให้จินตนาการภาพตัวเองในเส้นทางนั้นๆ ได้ชัดเจนขึ้น
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ควรลืมคือ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินหรือนักออกแบบ ก็ต้องอาศัย "วินัย" "ความกระหายที่จะเรียนรู้" "ความรักในสิ่งที่ตัวเองทำ" ถ้ามี 3 สิ่งนี้ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน หรือสร้างอาชีพใหม่เฉพาะตัว ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ทั้งศิลปินและนักออกแบบทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ สนใจความสวยงาม สื่อสารกับโลก และเป็นงานที่ทั้งสนุกและเติมเต็มหัวใจเราได้ ดูเผินๆ แม้จะคล้ายกันมาก แต่ถ้าเราเข้าใจลักษณะของทั้งสองอาชีพ เข้าใจธรรมชาติการทำงานของตัวเองดีแล้ว เราก็จะสามารถตั้งเข็มทิศและพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เราทำงานได้เต็มศักยภาพที่สุดได้นั่นเองค่ะ
ถ้าเริ่มมองเห็นภาพว่าแนวไหนคือสายของตัวเองแล้ว ลองต่อยอดความเข้าใจให้ชัดขึ้นกับคอร์ส
Designer Guidebook จาก Casper Schools คอร์สที่จะพาไปรู้จักเครื่องมือ วิธีคิด และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกสายสร้างสรรค์