เรื่องของ "สี" ไม่ใช่แค่เรื่องของดีไซเนอร์ ศิลปิน หรือกราฟิกดีไซน์เท่านั้น เพราะจริงๆ แล้ว เราใช้มันอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว!
เคยเป็นไหม? ตั้งใจแมทช์ชุดแบบสุดพลัง แต่พอส่องกระจกกลับรู้สึกว่า... เอ๊ะ? ทำไมมันดูขัดๆ กันไปหมด แต่วันไหนหยิบชุดแบบไม่คิดอะไรมาก กลับออกมาดูดีเฉย! จริงๆ แล้ว การเลือกสีชุดให้แมทช์กัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ “เซนส์” แต่มี ทฤษฎีสี (Color Theory) และวงล้อสี (Color Wheel) ที่ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
วงล้อสีคืออะไร?
สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้แค่ให้นักออกแบบใช้ แต่มันช่วยให้ทุกคนเลือกสีได้อย่างมีหลักการ วงล้อสีที่เราใช้กันทุกวันนี้ จริงๆ แล้วมาจากแนวคิดของ เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่ไม่ได้แค่ค้นพบแรงโน้มถ่วง
โดยนิวตันทดลองใช้ปริซึมแยกแสงจากดวงอาทิตย์จนเกิดเป็น "สีรุ้ง" และนำมาจัดเรียงเป็นวงล้อสีวงแรกของโลก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
-
โทนสีหลัก (Primary Colors) – สีตั้งต้น ผสมสีอื่นได้ แต่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ได้ ได้แก่ แดง, เหลือง, น้ำเงิน
-
โทนสีรอง (Secondary Colors) – สีที่เกิดจากการผสมสีหลัก ได้แก่ สีเขียว, ส้ม, ม่วง
-
โทนที่เกิดจากการผสม (Tertiary Colors) – สีผสมขั้นต่อไป เช่น แดงอมส้ม, ฟ้าอมเขียว
แล้วเอามาใช้กับ “การแต่งตัว” ยังไง?แทนที่จะเดาสุ่มว่าสีไหนเข้ากันดี ลองใช้โครงสีเป็นแนวทาง นักออกแบบและคนในวงการแฟชั่นใช้หลักการเลือกสีเพื่อให้การจับคู่ดูสวยงามและมีสไตล์ ไม่ใช่แค่เลือกตามความรู้สึก
สีคู่ตรงข้าม (Complementary Colors)
เลือกสีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันในวงล้อ เช่น น้ำเงิน-ส้ม, เขียว-แดง ทำให้ลุคดูโดดเด่นขึ้นมาแบบมีพลัง
สีสามเส้า (Triadic Colors)
เลือก 3 สีที่ห่างกันเท่าๆ กันบนวงล้อ เช่น แดง-น้ำเงิน-เหลือง ให้ลุคที่ดูสนุก สดใส มีชีวิตชีวา แต่ยังบาลานซ์ ไม่แย่งซีนกันเกินไป
สีใกล้เคียง (Analogous Colors)
เลือกสีที่อยู่ติดกันในวงล้อในโทนเดียวกัน จะทำให้ได้ลุคที่มีความกลมกลืน นุ่มนวล สบายตา ดูเรียบหรูแบบไม่พยายาม
Tip แมทช์สีให้ลงตัวด้วยกฎ 60-30-10